สีผสมอาหารจากธรรมชาติ

การปรุงรสและตบแต่งอาหารอย่างเหมาะสม  ทำให้อาหารที่ได้มีลักษณะและรสชาติที่ชวนรับประทานอาหารของไทยทั้งคาวและหวาน  นิยมปรุงแต่งสีให้ดูสวยงาม  แต่เดิมสีที่ใช้ในการปรุงแต่งอาหารส่วนใหญ่ได้ สีผสมอาหารจากธรรมชาติ คือได้จาก  ส่วนดอก  ผล  แก่น  ใบ  เหง้า  และบางครั้งก็ได้จากสัตว์  ในระยะหลังมีสีสังเคราะห์เกิดขึ้น  จึงได้มีการนำสีสังเคราะห์มาใช้ในการปรุงอาหารกันมากขึ้น  สีสังเคราะห์ที่ใช้ผสมอาหารได้จากการสังเคราะห์สานเคมีทางวิทยาศาสตร์ผ่านการค้นคว้าทดลองปรากฏว่า  หลายชนิดเป็นอันตรายต่อคนในระยะยาว  เรื่องนี้ในหลายประเทศ  เช่น  สหรัฐอเมริกา  ญี่ปุ่น  และประเทศในยุโรปได้มีการค้นคว้าเรื่องนี้อย่างกว้างขวาง  พร้อมทั่งสั่งระงับการใช้สีสังเคราะห์หลายชนิดที่ตรวจพบว่าเป็นอันตรายต่อคนทั้งระยะสั้นและระยะยาว

ในเมืองไทย  จากการสุ่มตัวอย่างอาหารหลายชนิด  เช่น ไส้กรอก น้ำปลา ข้าวเกรียบกุ้ง กุ้งแห้ง หรือขนมสำหรับเด็กตรวจแล้วพบว่าอาหารบางอย่างใส่สีผสมอาหารที่ไม่ถูกต้องตามประกาศของกระทรวงสาธารณสุข  เช่น  ใส่สีย้อมผ้าอยู่บ่อยครั้ง  เพราะสีย้อมผ้าราคาถูก  ใส่เพียงเล็กน้อยสีก็จะเด่นชัดขึ้นมา  สีสังเคราะห์จะเป็นอันตายต่อผู้บริโภค  ยางคนรับประทานเข้าไปอาจะเกิดแพ้สีอาการคล้ายแพ้ยาแอสไพริน คือ คลื่นไส้ อาเจียน มีริมผีปากดำ ถ้าเป็นสีผสมสารหนูคนไข้จะมีอาการน้ำลายฟูมปาก  หายใจไม่ออก  สีที่มีตะกั่ว  คนไข้ที่แพ้หรือรับประทานเข้าไปมากจะทำให้โลหิตจาง  ร่างกายอ่อนเพลีย  กล้ามเนื้อหมดกำลัง อาจพิการสมองอาจถูกกระทบกระเทือนไปด้วย

สีผสมอาหารที่เป็นสีสังเคราะห์ไม่ควรใช้เลย  เพราะบางตัวถ้าใช้บ่อยและปริมาณมาก  อาจทำให้เกิดพิษได้  เนื่องจากสีนั้นอาจจะไปเกาะหรือเคลือบตามเยื่อบุกระเพราะลำไส้  ทำการดูดซึมของกระเพาะลำไส้ไม่มีประสิทธิภาพ  เกิดอาการท้องเดิน  อ่อนเพลีย  ปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อ  น้ำหนักลด  ชีพจร  และการหายใจอ่อน  ถ้าเป็นมากประสาทและสมองเป็นอัมพาต  อาจเป็นมะเร็งในต่อมน้ำเหลือง  และในที่อื่นๆ

การควบคุมยังทำไม่ทั้งถึง  จึงทำให้ในท้องตลาดมีอาหารที่ผสมด้วยสีที่เป็นอันตรายหลายอย่างในฐานะที่เราเป็นผู้บริโภคจึงควรเลือกอาหารที่สาสีผสมอาหารจากธรรมชาติเป็นอันดับรกหรือเลือกอาหารที่ไม่ใส่สี  หากทำอาหารรับประทานเอง  ควรใช้สีจากธรรมชาติ  เพราะจะได้อาหารที่มีความปลอดภัย  ความสะอาด  และประหยัดอีกด้วย  สีผสมอาหารจากธรรมชาติที่จะแนะนำในที่นี้นั้น  เป็นเพียงส่วนหนึ่งของสีจากธรรมชาติและมีการใช้กันมามาก  สามารถลือกสามารถเลือกใช้ได้ตามชนิของอาหารและความชอบ

สีผสมอาหารจากธรรมชาติ

กระเจี๊ยบแดง

ส่วนที่ใช้ : กลีบเลี้ยง

วิธีใช้ : ใช้กลีบเลี้ยงแห้งหรือสด  ต้มกับน้ำเคี่ยวให้สีแดงออกมามากที่สุด  กรองเอากากที่เหลือออกโดยผ้าขาวบางบีบน้ำออกจากกลีบให้หมด  น้ำกระเจี๊ยบที่ได้สีแดงเข้ม (สาร Anthocyanin) นำไปแต่งสีอาหารตามต้องการ  หรือนำไปเติมน้ำตาล  เกลือเล็กน้อยปรุงเป็นเครื่องดื่มก็ได้


ขมิ้น

ส่วนที่ใช้ : เหง้าดิน

วิธีใช้ : ใช้เหง้าสด  ล้างน้ำ  ปอกเปลือก  บดหรือตำให้ละเอียด  เติมน้ำเล็กน้อย  คั้นกรองจะได้น้ำสีเหลืองเข้ม (สาร  Curcumin)  นำไปแต่งสีอาหารคาวเช่น  แกงกะหรี่  ข้าวหมกไก่  แกงเหลือง  อาหารหวาน  เช่น  ข้าวเหนียวเหลือง  ทำให้มีสีเหลืองน่ากิน


คำฝอย

ส่วนที่ใช้ : ดอกแก่

วิธีใช้ : เอาดอกแก่มาชงน้ำร้อน กรอง จะได้น้ำสีเหลืองส้ม (สาร  saffower  yellow) ใช้แต่งสีอาหารที่ต้องการให้เป็นสีเหลือง


คำแสด

ส่วนที่ใช้ : เมล็ด

วิธีใช้ : นำเมล็ดมาแช่น้ำแล้วคนแรงๆ  หรือนำเมล็ดคำแสดมาบดแล้วแช่น้ำ  กรองเอาเมล็ดออกด้วยผ้าขาวบางตั้งไว้ให้สีตกตะกอน  รินน้ำใสทิ้ง  นำตะกอนสีแสด (สาร  BIXIN)  ที่ได้ไปแต่งสีอาหารประเภทไขมัน  เช่น  ฝอยทอง  เนย  ไอศกรีม  และยังใช้ย้อมผ้าฝ้ายหรือผ้าไหมได้ด้วย องค์การอนามัยโลก กำหนดให้รับประทานสีที่สกัดจากเมล็ดคำแสดได้ไม่เกิน  0.065  มิลลิกรัม ต่อน้ำหนักตัว  1  กิโลกรัม  ต่อ  1  วัน


เตย

 ส่วนที่ใช้ : ใบสด

วิธีใช้ : นำใบเตยสดที่สะอาดหั่นตามขวางโขลก  เติมน้ำเล็กน้อย  คั้น  กรอง  ผ่านผ้าขาวบาง  จะได้น้ำสีเขียว (santophyll  และ  chlorophyll)  มีกลิ่นหอม  ใช้แต่งสีอาหารคาวและหวานได้  นิยมใช้แต่สีอาหารหวาน  เช่น  ลอดช่อง  ขนมเปียกปูน วุ้นกะทิ น้ำเก๊กฮวย  เค้ก  เป็นต้น  บางทีก็เอาใบมาโขลกพอแหลก  ต้มกับน้ำใส่น้ำตาลเล็กน้อย  ทำเป็นชาใบเตย  มีสีเขียว  กลิ่นหอมชื่นใจ


ฝาง

ส่วนที่ใช้ : แก่น

วิธีใช้ : นำแก่นมาแช่น้ำ จะได้น้ำสีชมพูเข้ม (sappan red) ใช้สีแต่งอาหารได้


อัญชัน

ส่วนที่ใช้ : ดอกสด

วิธีใช้ : ใช้กลีบดอกสด ตำ เติมน้ำเล็กน้อย  กรองด้วยผ้าขาวบาง  คั้นน้ำออก จะได้น้ำสีน้ำเงิน (Anthocyanin)  ถ้าเติมน้ำมะนาวลงไปเล็กน้อย  จะกลายเป็นสีม่วง  ใช้แต่งสีอาหารตามต้องการ  มักนิยมใช้แต่งสีน้ำเงินของขนมเรไร  ขนมน้ำดอกไม้  ขนมขี้หนู

Scroll to top